น้ำจิ้มลูกชิ้นน้ำมะขามเปียก

ขอเกาะกระแสน้องลิซ่า #LALISA ว่าด้วยเรื่องลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์

แต่ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องในวัยเด็กนิดนึง น่าจะช่วงมัธยมต้น ที่มีบางครั้งต้องอาศัยติดรถเพื่อนกลับบ้าน แรกๆ เพื่อนก็ใจดีให้เรากลับบ้านด้วยแบบฟรีๆ แต่หลังๆ ขอค่าขนมจากเราครั้งละ 5-10 บาทบ้างแล้วแต่เราจะมีให้ ซึ่งระหว่างทางเพื่อนคนนี้ก็จะแวะร้านลูกชิ้นเป็นประจำ ซึ่งเป็นร้านรถเข็นไม่มีที่นั่งแต่จะมีลูกชิ้นให้เลือกกับน้ำจิ้มหม้อใหญ่ๆ แถมยังมีผักให้จิ้มกินแกล้มแบบไม่อั้นด้วย…เราบอกเพื่อนไปว่าเราไม่มีเงินเพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นค่ารถให้นางนั่นแหละ แต่นางก็พูดยิ้มๆว่า “งั้นก็กินผักกับน้ำจิ้มรอละกัน…ไม่เสียตัง” มันเป็นภาพจำมาจนทุกวันนี้

เราไม่รู้หรอกว่าน้ำจิ้มลูกชิ้นยืนกินที่บุรีรัมย์เป็นอย่างไร? แต่เราจำรสชาติรสชาติของน้ำจิ้มของร้านลูกชิ้นเจ้านั้นได้ดี…ไม่มีวันลืม

พอเกิดกระแสน้องลิซ่ากับน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่หน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์ อย่าว่าแต่คนแห่ไปซื้อเลย เราเองก็นึกอยากกินเหมือนกัน ถึงกับโทรไปถามขอสูตรแม่ และแม่ก็บอกว่า “น้ำจิ้มสูตรนี้ไม่ได้เป็นสูตรพิเศษอะไรนักหนา มันก็เป็นเพียงน้ำจิ้มสูตรน้ำมะขามเปียกพริกป่นที่มีมานานแล้วเท่านั้น”

เมื่อทำน้ำจิ้มเสร็จเรียบร้อยก็จัดสำรับลูกชิ้นไม่ให้เสียชื่อจี๊ดวันเดอร์สักกะหน่อย…ไหนมาดูสูตรแล้วลองทำกันค่ะทุกคน

น้ำจิ้มลูกชิ้นน้ำมะขามเปียกสูตร jeedwonder

สูตรนำ้จิ้มน้ำมะขามเปียก

ส่วนประกอบ

น้ำมะขามเปียกคั้นและกรองเรียบร้อยแล้ว 6 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีและกระเทียมสับรวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาลมะพร้าว 10 ช้อนโต๊ะ
น้ำกระเทียมดอง 1 ช้อนโต๊ะ
เนื้อกระเทียมดองสับ 1 หัว
พริกชี้ฟ้าแห้งป่น 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน หรือ แป้งข้าวโพดละลายน้ำ ½ ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
ผักชีสับตามชอบ

สูตรน้ำจิ้มลูกชิ้น
ลูกชิ้นเสียบไม้ เสริฟพร้อมน้ำจิ้ม จัดวางบนตะกร้าหวายสองชั้น

วิธีทำ

  1. ตั้งหม้อด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่น้ำ น้ำมะขามเปียก น้ำตาลมะพร้าว คนให้เข้ากัน
  2. ใส่น้ำกระเทียมดอง กระเทียมกับรากผักชีสับ เนื้อกระเทียมดองสับ พริกชี้ฟ้าแห้งป่น คนให้เข้ากันรสชาติจะออกหวานนำ เปรี้ยว เค็ม และเผ็ด (หากใครชอบเผ็ดกว่านี้เพิ่มพริกได้ตามชอบ
  3. เคี่ยวส่วนผสมให้ข้นเหนียว (แม่บอกว่าสูตรโบราณจริงๆจะไม่ใส่แป้งมันลงไป) แต่ถ้าชอบความเหนียวหนึบแบบแป้งเคลือลูกชิ้นก็ให้เติมน้ำแป้งคนให้ละลายดี
  4. เมื่อน้ำจิ้มเย็นแล้วก่อนเสิร์ฟก็โรยผักชีเพิ่มความหอม เสิร์ฟกับลูกชิ้นทอดร้อนๆ….อร่อยไม่ลืมแน่นอน

เรื่อง/ภาพ: jeedwonder

#น้ำจิ้มลูกชิ้นยืนกิน #น้ำจิ้มลูกชิ้นน้ำมะขามเปียก #น้ำจิ้มลูกชิ้น #น้ำจิมลูกชิ้นโบราณ #แจกสูตร #recipe #lalisa

อาหารเช้ากับไข่เบเนดิกท์

ทำไมอาหารเช้า ถึงเรียกว่า Breakfast ?

ก่อนถึงกลางศตวรรษที่ 17 คนส่วนใหญ่ในยุโรป กินอาหารเพียง 2 มื้อ คือ อาหารกลางวันที่มักจะกินเวลาตั้งแต่สายจนบ่าย  กับอาหารเย็นจนดึก และเรียกมื้อหลัก ว่า Dinner อยู่ที่ว่าแถบไหนจะนิยมกินมื้อไหนเป็นมื้อหลัก แล้วจึงค่อยมีคำเรียกย่อยๆ ว่า Lunch  หรือ  Supper ในเวลาต่อมา (สังเกตการเรียกห้องรับประทานอาหารในงานออกแบบสิ ว่าใช้คำว่า Dining room ซึ่งแปลว่า ห้องกินข้าว ) ไข่เบเนดิกท์

จนกระทั่งเมื่อเข้ากลางศตวรรษที่  18 การเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้นิยามอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบว่า Breakfast ซึ่งมาจาก คำว่า “Break to fast”  ที่แปลง่ายๆว่า การหยุดอดอาหารที่ยาวนานในเวลากลางคืน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษและยุโรปตอนเหนือ #breakfast

ที่มีการจัดอาหารเช้าเต็มรูปแบบสำหรับแขกที่มาพักที่บ้านและระบาดไปตามโรงแรม เพื่อเป็นการประกาศศักดาว่าตนมีฐานะร่ำรวยเป็นต้น นับแต่จากนั้น คำว่า Breakfast จึงเป็นที่นิยมและรู้จักว่าเป็นมื้อเช้า มื้อสำคัญสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่

Egg Benedict | ไข่เบเนดิกท์

ไหนๆเล่าที่มาของคำว่า Breakfast แล้ว ขอกระแดะขอเล่าต่อด้วยอาหารเช้าแบบฝรั่งๆ ที่ชื่อว่า Egg Benedict หรือ ไข่เบเนดิกท์ เลยละกัน

จริงๆ แล้วที่มาคลุมเครือ

บ้างว่ามาจากนามสกุลของชายชื่อว่า Lemuel Benedict (เลมวล เบเนดิกต์) นายหน้าค้าหุ้นชาวนิวยอร์ควัยเกษียณที่ไม่พอใจอาหารเช้าของโรงแรม Waldorf Hotel ที่เข้าพักเมื่อปี 1894 เขาเลยสั่งเมนูใหม่โดยให้นำ “ขนมปังปิ้งทาเนย ไข่ดาวน้ำ เบคอนกรอบๆแล้วราดด้วยซอสฮอลแลนเดส” ผู้จัดการห้องอาหารถูกใจเมนูนี้มากจึงได้บรรจุลงในเมนูอาหารเข้าของที่นี่ในเวลาต่อมา*
—————————
* บทสัมภาษณ์ถูกตีพิมพ์ในปี 1942 จากนิตยสาร New Yorker

แต่ก็มีการคัดค้านจากทายาทของ ผู้การ อี.ซี. เบเนดิต์ (Commodore E.C.Benedict) ว่าเป็นสูตรของลุงตน

หรืออาจจะมีต้นกำเนิดที่ยุโรปที่ระบุถึงอาหารพื้นบ้านฝรั่งเศสชื่อ เอือฟ อาลา เบเนดิกตีน (oeufs a’ la be’ne’dictine) ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่นักบวชนิกายเบเนดิกตีนรับประทานก็เป็นได้

หรือแม้กระทั่งการตีพิมพ์สูตรไข่เบเนดิกท์ในช่วงเปลี่ยนสู่ศตวรรษที่ 20ในหนังสือชื่อ Eggs, and how to use them ตีพิมพ์ปี 1898 ว่าด้วยเรื่อง “การปรุงไข่ในรูปแบบต่างๆ กว่า 500 แบบ”

ซึ่งลักษณะของเมนูนี้จะเห็นความเหมือนและคล้ายกัน

คือการประกอบไปด้วย

คาโบไฮเดรท ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง อิงลิชมัฟฟิน หรือ วาฟเฟิล

ไขมัน จาก เนยในการย่างหรืออบแป้ง

โปรตีน จาก แฮม เบคอน ไส้กรอก หรือปรับเป็นเนื้อปลากุ้งหอยแล้วแต่จะสร้างสรรค์

ครีมหรือซอสฮอลแลนเดส ซึ่งประกอบไปด้วย ไข่แดง เนย น้ำส้มสายชู เกลือ และพริกไทย

เอาเป็นว่าไม่ว่า ไข่เบเนดิกท์ จะมีที่มาจากไหน แต่ล้วนแล้วถูกอ้างว่ามาจาก คำว่า “เบเนดิกท์” ทั้งสิ้น

เมนูที่ดูเหมือนง่าย แต่กลับต้องใช้ทักษะขั้นเทพ ไม่ว่าจะเป็นการทำไข่ดาวน้ำให้ได้ความสุกที่พอดี รูปแบบออกมาสวย และจะสมบูรณ์แบบเมื่อตัดออกมาแล้วมีความเยิ้มของไข่แดงมาผสมกับซอสและขนมปังที่กรอบหอม

ซอสฮอลแลนเดส คือการตีไข่ในความร้อนกับมายองเนส(เพราะมีไขมัน น้ำส้มสายชู เกลือ พริกไทย) ให้ได้สัดส่วนที่พอดีไม่ให้ไข่สุกเนื้อไข่กับครีมเข้ากันดี บางสูตรเพิ่มมัสตาสเข้าไปแล้วแต่ชอบ

เท่านี้อาหารมื้อเช้าที่มาจากวัตถุดิบพื้นฐานที่หาได้ในตู้เย็นก็ดูหรูหราให้คุณค่าและตามมาด้วยมูลค่าด้วยนะเออ…

เรื่อง / ภาพ  : jeedwonder เชฟแม่ธิชา
ข้อมูล : ตำนานอาหารโลก เบื้องหลังจานโปรดโดนใจคนทั่วโลก แปลโดย พลอยแสง เอกญาติ
(What Caesar did for my salad: The secret meanings of our favourite dishes by Albert Jack)

อ่านเรื่องที่น่าสนใจ ไอเดียการตกแต่งโต๊ะอาหารในเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ในคราวเดียว

ติดตาม jeedwonder

สร้อยข้อมือจากกระดุม

#mythought #flashback
ดัดแปลง…แกล้งทำตอนเด็กๆ ฉันแทบไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ หรือรองเท้าใส่เล่นใหม่ๆ ความสุขในวัยเด็กของฉันคือการได้รับของต่อจากพี่ ซึ่งเป็นลูกของป้าลูกของลุง นานๆที่จะได้ของใหม่สักครั้งซึ่งจำแทบไม่ค่อยได้ บ้านของยายเป็นเรือนไม้ทั้งหลัง หน้าบ้านเป็นโรงรถฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งกั้นด้วยไม้ระแนงขนาดประมาณหนึ่งนิ้วครึ่งเว้นระยะห่างประมาณช่องละนิ้ว ด้านหนึ่งของผนังเป็นกระดานดำแผ่นใหญ่ (จริงๆมันเป็นกระดานไม้ทาด้วยสีเขียวแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่ากระดานดำ) เป็นที่ไว้สำหรับพี่ๆใช้เรียนพิเศษ

ฉันจำได้เลือนลางว่ารถของป้าเป็นรถโฟล์กเต่าสีไข่ไก่ แม่เล่าว่าตอนที่ป้าขายรถคนนี้ไปฉันร้องไห้ตาบวมค่าที่ชอบรถคันนี้เพราะว่ามันสวยเหมือนรถของเจ้าหญิง

พื้นที่ใช้สอยของบ้านก็ปกติ มีห้องรับแขกหน้าบ้าน กระไดไม้ทอดยาวไปชั้นบนซึ่งเป็นห้องนอนของลุงเซ็นกับป้าลาและพี่ๆ ทั้งสี่คน ส่วนห้องข้างล่างตรงกลางบ้านเป็นห้องกินข้าว มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่วางกลางห้องกับเกัาอี้ไม้บุหนังเทียมสีครีมข้างละสามตัว

หน้าต่างบ้านนี้เป็นบานยาวสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน และมีลูกกรงไม้กั้นไว้กันตก ข้างๆ มีตู้เย็นหลังใหญ่ด้านหลังโต๊ะระหว่างทางเดินเป็นตู้กับข้าวไม้ขนาดใหญ่ ภาพคุ้นตาของห้องนี้คือภาพของยายทองคำนั่งกับพื้นหน้าตู้เย็นค่อยๆ หั่นหมากเป็นแว่นๆ ใส่กระด้งก่อนเอาไปตากหรือบางทีแกก็จะนั่งตำหมากเคี้ยวช้าๆ แววตามองทอดยาวไปที่รั้วข้างบ้าน ซึ่งติดกับทึ่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยหญ้ารก

ส่วนที่โต๊ะกินข้าวภาพที่ฉันจำได้ติดตาก็คือภาพของลุงเซ็นสามีของป้าลาพี่สาวคนรองก่อนแม่ฉัน แกจะนั่งใช้แว่นขยายดูพระบ้าง อ่านหนังสือพระบ้างที่โต๊ะตัวนี้ นอกจากใช้เป็นที่รวมกินข้าวของทุกคนในบ้านถัดจากห้องกินข้าวก็จะเป็นลานกลางบ้าน ที่เป็นทางเชื่อมไปยังห้องเล็กและห้องเก็บของหลังบ้าน ลานกลางบ้านนี่ล่ะ ที่ใช้ทำครัว เป็นลานซักล้าง และเป็นที่รวมทำกิจกรรมในบ้านของยาย

ส่วนห้องเล็กหลังบ้านแม่เล่าว่าเคยเป็นเรือนหอของพ่อกับแม่ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่แฟลตตำรวจ ห้องเก็บของหลังบ้านนี่ล่ะ ที่ฉันอยากจะพูดถึง ความจริงจะเรียกว่าห้องก็ไม่ถูกเท่าไหร่นักเพราะมันมีแค่ผนังสามด้าน

อีกด้านหนึ่งเปิดโล่งทำให้มองเห็นสวนกล้วยกับทุ่งรกๆ หลังบ้านนอกจากความสุขที่ได้รับช่วงต่อเสื้อผ้าของใช้จากพี่ๆ แล้ว ห้องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสุขของฉัน ฉันมักจะเจอหนังสือเก่าๆ ที่ถูกทิ้งไว้ รองเท้า กระเป๋าเก่า ของที่บ้านนี้ไม่ใช้แล้ว แต่ฉันก็มีความสุขเสมอที่ได้เจอของใหม่ๆจากของเก่าตรงนั้น กรอบรูปพลาสติกลายฉลุที่เก่าสกปรก ฉันก็เอามันไปขัดสีฉวีวันทาสีใหม่จนลืมสภาพของมันจนสิ้น หนังสือนิตยสารเก่าอย่างบ้านและสวน แพรวสุดสัปดาห์ ฉันก็จะเอามานั่งอ่านอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งใครจะรู้ว่าวันหนึ่งฉันจะมีโอกาสได้ทำงานที่สำนักพิมพ์นี้ในอนาคตหลังบ้านของยายจึงเหมือนขุมทรัพย์ที่พาฉันได้ท่องโลกกว้างและรู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอ

เสื้อผ้าของพี่ๆส่วนใหญ่เป็นของมียี่ห้อ ต่ำๆก็แตงโม จีออดาโน่ จัสปาล บานาน่ารีพับบลิค รีเพลย์ เบเนตอง เป็นต้น (ลืมบอกไปว่าลูกของป้าอายุห่างจากฉันกว่าสิบปี เสื้อผ้าของใช้จึงเป็นของคนหนุ่มสาว) เมื่อฉันเอาเสื้อผ้าของพี่ๆมาใส่เลยดูกระเดียดไปทางแก่แดดกว่าเพื่อน บางตัวฉันก็จะใส่แบบที่มันเคยเป็นมา สมัย ม.3 ฉันเคยถูกเพื่อนคนหนึ่งนินทาว่ากางเกงฉันดูเก่ามาก แต่จริงๆแล้วมันเป็นดีไซน์ที่ทำให้ดูเหมือนเก่า ฉันก็เลยคิดดูถูกเพื่อนคนนั้นกลับไปว่านางไม่มีรสนิยมและถึงแม้กางเกงฉันจะดูเก่าจริงแต่ก็ยี่ห้อรีเพลย์ละกัน เด็กตจว.หลังเขาอย่างนางก็คงไม่รู้จัก (ตอนที่ว่านางในใจ ฉันก็แอบพูดกับตัวเองว่าถึงฉันจะอยู่จังหวัดเดียวกันกับนางแต่รสนิยมของฉันก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ เหอๆ)

เล่าต่อ…ส่วนเสื้อผ้าบางตัวที่ดูขัดใจ เช่นขายาวไปฉันก็จะเอามาตัดเป็นขาสั้น เปลี่ยนกางเกงให้เป็นกระโปรง เสื้อตัวยาวก็จะเอามาตัดเป็นเอวลอยบ้าง ทำแขนกุดบ้าง หรือแปลงสภาพจากกางเกงกลายเป็นเป้สะพายไปเลยก็มีไอ้เรื่องดัดแปลงแกล้งทำนี่ฉันเก่งนัก ก็อย่างที่ว่า ทุกอย่างมันเริ่มจากคำว่า “ไม่มี และ อยากมี” ตามประสาเด็กผู้หญิงวัยเริ่มสาว เห็นเพื่อนๆเขาใส่ชุดไปรเวต (คำนี้มันมาจากคำว่า private สินะ) ก็อยากมี แต่เราก็มีแต่ชุดเก่าของคนอื่น อยากภาคภูมิใจเหมือนได้ของใหม่ก็ต้องลงมือดัดแปลงเอง เห็นเพื่อนๆ มีเป้สะพายเท่ๆก็อยากได้ เมื่อไม่มีตังก็จับกางเกงเก่ามาตัดและเย็บด้วยมือ ตัวกระเป๋าทำจากกางเกงยีนส์สีดำตัดผ้าสีเทาเป็นตัวอักษร T E A M แล้วคัตเวิร์คตกแต่งที่กระเป๋าฝากระเป๋าก็ตัดจากกระเป๋าหลังของกางเกงนี่ล่ะ เลาะกระดุมเหล็กกับทำรังดุมติด แค่นี้ก็เท่ขนาดมีเพื่อนมาขอยืมไปสะพาย

ส่วนเครื่องประดับสุดเก๋ฉันก็เลาะกระดุมลายกระ (กระที่ทำมาจากกระดองเต่า ช่วงหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นมันฮิตมากๆมากๆๆๆ) เอาเชือกหนังแท้แบบกลมขนาดพอดีกับรูของกระดุมสอดไปมากับกระดุม 4 – 5 เม็ด มัดๆผูกๆให้รูดปรับขนาดได้ ใส่แทนกำไลแบบที่ไม่มีใครเหมือนจนมีเพื่อนอีกคนมาขอยืมไปใส่เลยนะ ที่ว่าดัดแปลงของมาใช้ ทำของเก่าให้ดูใหม่ เปลี่ยนฟังชั่นของเดิมให้ไฉไลกว่าเก่าน่ะฉันถนัด ส่วนเรื่องแกล้งทำน่ะ มันเกิดจากจินตนาการของฉันเอง ความจริงฉันไม่ได้พอใจจากของที่ได้ตกทอดมาหรอกนะ แต่ทำไงได้ ในเมื่อเราไม่ได้มีอย่างเขา ฉันจึงจำเป็นต้องรับช่วงของเก่าจากพี่ๆ แล้วมาแกล้งทำว่ามีความสุขแบบสะกดจิตตัวเอง พยายามหาทางออกและสร้างความภาคภูมิใจจากชิ้นงานใหม่ของตัวเองจากฝีมือและความคิดของเด็กผู้หญิงในวัยมัธยมคนหนึ่งแกล้งทำว่าตัวเองมีความสุข จนเลยเถิดความรู้สึกนั้น กลายเป็นความสุขจริงๆเพราะฉันเชื่อว่า “ไม่มีใครในโลกนี้จะมีของแบบที่ฉันมีได้” ยังไงล่ะ…

สมุดออแกนไนเซอร์ทำมือ : การจัดการชีวิต

มีคำถามก่อนจะเริ่มทำ ณ เวลานี้ จะยังมีคนใช้สมุดอยู่ไหม? โลกของดิจิตอล ทุกอย่างต้องพึ่งเทคโนโลยี ต้องเพิ่งแอปพลิเคชั่น อะไรๆง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส การสื่อสารในโลกออนไลน์ที่ใช้สำนวนภาษาไทยแบบป่วยๆ คนพูดกันนับคำได้ แต่พิมพ์ผ่านโลกออนไลน์นี่ถนัดนัก ทุกอย่างเลยต้องสั้น กระชับเข้าไว้ จนเมินเฉยต่อ กาละ และ เทศะ ลืมไปว่า มันเคยจำเป็นแค่ไหน?

ตั้งแต่จำความได้ ฉันเป็นคนที่ชอบกระดาษ เครื่องเขียน และหนังสือ มันรู้สึกดีที่ได้เห็น ได้สัมผัส ได้จับต้อง รู้สึกดีที่ได้เปิดผ่านไปทีละหน้า เป็นเด็กที่ชอบจดบันทึก และจะรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้เครื่องเขียนใหม่ๆ ความรู้สึกนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยจนกระทั้งทุกวันนี้

แต่ก็ไม่บ่อยหรอกนะ ที่ฉันจะได้ซื้อเครื่องเขียนใหม่ๆ เพียงปีละสองหนเท่านั้น นั่นคือช่วงเวลาเปิดเทอม ส่วนใหญ่พี่จิ๊บ ลูกสาวคนโตของป้าลา พี่สาวของแม่จะเป็นคนซื้อให้ และพี่เขาก็จะให้ฉันเป็นคนเลือกเอง ฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอม ไอ้เรื่องรสนิยมกับเงินในกระเป๋าสำหรับฉันมันผิดกันลิบลับ รสนิยมดีรายได้ไม่มีแถมครอบครัวก็ไม่ร่ำรวยอะไร การได้มาซึ่งของใหม่จากของเก่าของคนอื่นจึงเป็นความสุขที่สุดของฉัน ด้วยความที่ชอบวาดรูปและบ้าสีไม้แบบที่ระบายน้ำได้แต่จะให้ซื้อยกกล่องครบ 24 สีทุกครั้งที่มีสีใดสีหนึ่งหมดก็ลำบากมากสำหรับเด็กเบี้ยน้อยแต่หอยใหญ่อย่างฉัน เมื่อสีหนึ่งหมดไปสิ่งที่ทำได้แค่ซื้อเฉพาะสีอะไหล่สีนั้นมาเติม ทำให้ต้องลงมือทำที่เก็บดินสอสีจากขากางเกงยีนส์เก่ามาใช้เอง โดยการเอายางยืดมาเย็บติดกับผ้ายีนส์ให้เป็นช่องๆขนาดพอสอดดินสอสีได้ วิธีเก็บก็แค่ม้วนติดกระดุมเย็บด้วยมือทั้งอันอย่างเรียบร้อยกุ๊บขอบข้างๆที่ลุ่ยๆด้วยริบบิ้นลายตารางหมากรุก จำได้ว่าเอาไปใช้ที่โรงเรียนภูมิใจแทบบ้าเพราะมีเงินให้ตายก็หาซื้อของแบบที่ฉันทำไม่ได้แน่นอน นี่ล่ะความภูมิใจเล็กๆของเด็กจนๆ

เอาล่ะ มาพูดกันเรื่องสมุดออแกนไนเซอร์ต่อดีกว่า ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครยังใช้บ้าง หรือถ้าใครที่ยังใช้อยู่ก็ช่วยบอกกันหน่อยละกัน สมุดออแกนไนเซอร์ หรือ สมุดโน้ต ที่มีตารางงานช่องจัดเก็บสิ่งล่ะอันพันละน้อย กับเบอร์โทรศัพท์ สมัยหนึ่งมันฮิตมากๆเรียกได้ว่าถืออวดกันบ่งบอกถึงตัวตนและฐานะของเจ้าของได้เลยทีเดียว เพราะมันสามารถสะท้อนตัวตนของคนใช้ได้ประมาณหนึ่งเลยล่ะ

cr. pinterest

แต่ก่อนจะลงมือทำสมุดออแกนไนเซอร์ เราลองจัดระบบชีวิตควบคู่กันไปดีไหม?

ออแกนไนเซอร์ทำมือ
สิ่งที่ควรมี คือ

1.ออกแบบหน้าตาสมุดที่ตนเองอยากได้ : รู้จักตัวเอง ว่ามีอุปนิสัยอย่างไร ตื่นเช้า ตื่นสาย นอนดึก หรือ ชอบอะไรเป็นพิเศษ ก็ให้เลือกของตกแต่ง สมุดนิตยสารเรื่องราวที่ตัวเองชอบจะได้เอามาตัดแปะตกแต่งสมุดของเราให้สวยเก๋ไม่ซ้ำใคร

2. ต้องรู้ว่าสมุดเล่มนี้ใช้อย่างไร จะได้รู้ถึงขนาด รูปเล่ม การพกพา : ต้องรู้จักตัวเองว่าเราต้องการเห็นภาพรวมของงาน ก็ให้เลือกใช้ช่องบันทึกขนาดเล็กเห็นวันเดือนปีชัดๆมีปฏิทินครบถ้วน หรือถ้าชอบจดบันทึกก็ให้เลือกใช้ช่องขนาดใหญ่หรือกระดาษเปล่าเต็มแผ่นสำหรับหนึ่งวันไปเลยก็ไม่มีใครว่า

3. ฟังชั่นอื่นๆ หรือ สิ่งที่ต้องการให้มี มีที่เสียบปากกาไหม? ช่องใส่ของจุกจิกหรือเปล่า? เครื่องคิดเลข? ช่องใส่กระดาษโน้ต? เป็นต้น : จดรายการสิ่งที่ชอบ อะไรที่เหมาะกับเราไว้เป็นข้อๆ เลือกและลงมือทำสิ่งที่สำคัณสุดไปหาสิ่งที่มีความสำคัญน้อย (อันนี้มันอยู่ที่ช่วงเวลาเหมือนกันนะ บางทีในช่วงหนึ่งของชีวิตสิ่งนี้โคตรจะสำคัญเลย แต่พอมองย้อนกลับไป อาจจะสำคัญน้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่งในตอนนี้ก็ได้) เอาเป็นว่าเลือกจัดการให้เหมาะกับตัวเองที่สุดเป็นพอ ชีวิตจะได้ไม่ยุ่งเหยิง

2. ต้องรู้ว่าสมุดเล่มนี้ใช้อย่างไร จะได้รู้ถึงขนาด รูปเล่ม การพกพา : ต้องรู้จักตัวเองว่าเราต้องการเห็นภาพรวมของงาน ก็ให้เลือกใช้ช่องบันทึกขนาดเล็กเห็นวันเดือนปีชัดๆมีปฏิทินครบถ้วน หรือถ้าชอบจดบันทึกก็ให้เลือกใช้ช่องขนาดใหญ่หรือกระดาษเปล่าเต็มแผ่นสำหรับหนึ่งวันไปเลยก็ไม่มีใครว่า

3. ฟังชั่นอื่นๆ หรือ สิ่งที่ต้องการให้มี มีที่เสียบปากกาไหม? ช่องใส่ของจุกจิกหรือเปล่า? เครื่องคิดเลข? ช่องใส่กระดาษโน้ต? เป็นต้น : จดรายการสิ่งที่ชอบ อะไรที่เหมาะกับเราไว้เป็นข้อๆ เลือกและลงมือทำสิ่งที่สำคัณสุดไปหาสิ่งที่มีความสำคัญน้อย (อันนี้มันอยู่ที่ช่วงเวลาเหมือนกันนะ บางทีในช่วงหนึ่งของชีวิตสิ่งนี้โคตรจะสำคัญเลย แต่พอมองย้อนกลับไป อาจจะสำคัญน้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่งในตอนนี้ก็ได้) เอาเป็นว่าเลือกจัดการให้เหมาะกับตัวเองที่สุดเป็นพอ ชีวิตจะได้ไม่ยุ่งเหยิง

อุปกรณ์
1. กระดาษแข็งสำหรับทำปก
2. ห่วงสำเร็จรูป
3. กระดาษสีต่างๆตามชอบ
4. หนังสือนิตยสารเก่าๆที่สามารถตัดได้
5. ตัวเจาะกระดาษ
6. เชือก
7. กาว
8. กรรไกร

วิธีทำ
ตัดกระดาษแข็งทำปก ร่างแบบที่อยากได้แล้วตัดกระดาษจากหนังสือนิตยสารตัดแปะตามชอบ พับกระดาษสี กระดาษ a4 แล้วตัดให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ เจาะรูใส่ห่วง ตกแต่งด้วยเชือก รอกาวแห้งเป็นอันใช้ได้

Credit
เรื่อง: jeedwonder
ภาพ: pinterest

ไอเดียการตกแต่งโต๊ะอาหารในเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ในคราวเดียว

ไอเดียการตกแต่งโต๊ะอาหารในเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ในคราวเดียว

เป็นอันรู้กันว่าเทศกาลตรุษจีน หรือ ปีใหม่ของชาวจีนนั้น

จะมีช่วงเวลาใกล้เคียงกับเทศกาลวาเลนไทน์ หรือ วันแห่งความรักของฝรั่ง

อยู่บ้านกักตัว งบก็จำกัด เรามาจัดงานปาร์ตี้รวบกันทั้งสองเทศกาลไปเลยดีกว่า

วันนี้เราเลยรวบรวม ไอเดียการตกแต่งโต๊ะอาหารในเทศกาลตรุษจีนรวมวาเลนไทน์ในคราวเดียว มาฝากทุกคนกันนะคะ

จับคู่สีหวานพาสเทล

ใครว่าตรุษจีนจะมีแค่สีแดง หรือ วาเลนไทน์จะใช้ได้แค่สีชมพู ของแบบนี้อยู่ที่ใจรักใจชอบกันค่ะ

แนะนำใช้สีชมพูหวานของดอกไม้ จับคู่กับภาชนะสีฟ้าพาสเทล เลือกลวดลายของตกแต่งเป็นดอกเหมย กิ่งไม้ได้อารมณ์จีนๆ แต่แบ๊วๆ หวานๆ กำลังน่ารัก

คุ๊กกี้เสี่ยงทายจากถ้วยกระดาษอบขนมเค้ก

คลี่ถ้วยกระดาษสีชมพูหานพับครึ่ง เขียนคำทำนายลงในกระดาษเล็กๆ ตัดตามยาว ซ่อนไว้ในถ้วยกระดาษที่พับครึ่งไว้แล้ว นำไปวางตกแต่งบนจานเป็นลูกเล่นห่อนสิร์ฟอาหารน่ารักดีใช่ไหมล่ะ

โดนัทลายดอกเหมย

การรวมตัวกันของโดนัทขนมแบบอเมริกัน (หาซื้อง่าย สั่งเดลิเวอรี่มาก็ได้) ตกแต่งด้วยไวท์ช็อคโกแลตวาดลายดอกเหมยก็เก๋ไม่ใช่เล่น

เครื่องดื่มชีชมพูแสนโรแมนติก

เลือกเครื่องดื่มสุดโปรดสีชมพูหวาน ทำน้ำแข็งดอกไม้ ใส่ถังแช่เครื่องดื่มเพิ่มความหวานโรแมนติกได้อีกหน่อย

ของขวัญสำหรับคนรัก

วาเลนไทน์ต้องนึกถึงช็อคโกแลต เลือกช็อคโกแลตที่บรรจุภัณฑ์น่ารักๆ ใส่การ์ด ผูกโบว์ หรือ แนบร่มกระดาษจิ๋วไปด้วย ช็อคโกแลตธรรมดาก็ดูกลายเป็นน้องหมวยอินเตอร์ไปทันที

ติดตามไอเดีย และบทความเกี่ยวกับตกแต่งอาหารสถานที่ตามเทศกาลต่างๆ ได้อีกที่…
Valentine dinner table idea
ทำไมวันที่ 1 มกรา ถึงเป็นวันปีใหม่???

ภาพ : pinterest
เรื่อง : Jeedwonder เชฟแม่ธิชา

“ทำไมวันที่ 1 มกราถึงเป็นวันปีใหม่???”

“ทำไมวันที่ 1 มกราถึงเป็นวันปีใหม่???”

แต่เดิมคนเราไม่ได้ฉลองปีใหม่กันวันที่ 1 มกราหรอกนะจ๊ะ ในแถบเมโสโปเตเมียมีการฉลองปีใหม่กันมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาลในวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งในยุคโบราณจะกำหนดวันปีใหม่ตามวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน (equinox) ซึ่งมีอยู่แค่ 2 วันในเดือนมีนาคมและกันยายน หากยึดตามฤดูใบไม้ผลิก็เท่ากับปีใหม่คือ 20 มีนาคม ถ้านับตามฤดูใบไม้ร่วงจะตรงกับ 20 กันยายน ส่วนชาวกรีกโบราณฉลองปีใหม่กันในวันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาววววว…

สำหรับจักรพรรดิโรมัน จูเลียส ซีซาร์ ประกาศให้ 1 มกราคมเป็นวันเริ่มต้นปีเมื่อ 45 ปีก่อนคริสตกาลโน่น! เพราะปฏิทินโรมันที่ใช้กันอยู่เดิม ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาลตามจันทรคติ (วงโคจรของพระจันทร์) เริ่มคลาดเคลื่อน แถมชนชั้นปกครองยังเติมวันเข้าไปในปฏิทินได้ตามชอบ (ไหงทำงั้น??) ‘ปฏิทินจูเลียน’ จึงเกิดขึ้นตามวงโคจรของดวงอาทิตย์ตามแบบชาวอียิปต์ 1 ปี = 365.25 วัน และวันเริ่มต้นปีตรงกับ 1 มกราคม และทุกๆ 4 ปีจะเติมอีก 1 วันให้เดือนกุมภา เป็นปีอธิกสุรทิน เพื่อให้วันไม่คลาดเคลื่อน แต่ปฏิทินจูเลียนก็ยังคำนวณผิดจนได้ จริงๆแล้ว 1 ปีต้องมี 365.242199 วัน ไม่ใช่ 365.25 วัน 11 นาทีแบบที่คลาดเคลื่อนทบกันทุกปีๆ นี้ มันเริ่มสำแดงฤทธิ์ในยุคกลาง วันผิด เดือนขยับ บางปีฉลองอีสเตอร์กันผิดฤดูก็มี จึงเป็นเหตุต้องชำระปฏิทินใหม่อีกครั้ง คราวนี้สันตะปาปาเกรกอรีที่ 8 แห่งวาติกันได้สั่งการทำ ‘ปฏิทินเกรกอเรียน’ ในปีค.ศ. 1582 โดยให้ตัด 10 วันออก ปีใหม่จึงกลับมาตรงกับวันที่ 1 มกราคมมานับแต่นั้นจนถึงวันนี้เจ้าค่ะ

เมืองไทยเองได้มีการเปลี่ยนแปลงวันปีใหม่มาถึง (ตั้ง) 4 ครั้ง เริ่มแรกตรงกับวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้ายตามหลักพุทธศาสนา ตรงกับเดือนมกราคม ต่อมาเปลี่ยนไปยึดคติพราหมณ์ แต่เรียกว่าตรุษไทย ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นช่วงสงกรานต์พอดิบพอดี สมัยรัชกาลที่ 5 ปีใหม่ไทยขยับมาตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันตรุษสงกรานต์ เริ่มใช้ครั้งแรกในพ.ศ. 2432 เพื่อให้สอดคล้องกับสากลในยุคที่บ้านเมืองเริ่มติดต่อกับต่างประเทศ และจอมพลป. พิบูลสงครามก็ประกาศให้ปีใหม่ของไทยเหมือนกับทั่วโลก เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา

ส่วนพี่น้องเชื้อสายจีนก็ได้ฉลองปีใหม่จีนกันอีกรอบในวันตรุษจีน ระหว่าง 20 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม ซึ่งจะกำหนดตามปฏิทินจีนอีกที สำหรับคนไทยใจกว้างและชอบความบันเทิง จึงน้อมรับเทศกาลปีใหม่จากทุกเชื้อชาติ ฉลองกันทั้งปีใหม่สากล ตรุษจีนและตรุษไทย มีวันหยุดสำราญตลอดปีแบบพี่ไทยเขาล่ะ

Happy New Year! นะคะพี่น้องชาวไทย วู้ๆๆๆ Cheers!
และ jeedwonder ก็มีสูตรเครื่องดื่มที่เหมาะกับเทศกาลมาฝากอีกเช่นเคย ตามนี้เลย

D.I.Y. Sparking Celebrate by JWD

– Apple cider 1 Onz.
– น้ำส้ม 1 Onz.
– บรั่นดี 1Onz.
– น้ำแข็งทุบ
– โซดา ผสม Apple cider + น้ำส้ม + บรั่นดี
แล้วเติมน้ำแข็งและโซดา พร้อมเสิร์ฟ Cheer!!!!

เรื่อง : น้าธิชา by www.jeedwonder.com
สูตร D.I.Y. : jeedwonder
ข้อมูล : www.history.com , www.culture.com
ภาพ : jeedwonder

เรื่องเล่าของ “ต้นคริสต์มาส”

“ต้นคริสต์มาส” 

ความหมายในวัฒนธรรมของชาวคริสต์ หมายถึง ต้นไม้ในสรวงสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากินเป็นการทำบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) 6) 

ในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์นิยมแสดงละครที่หน้าวัด เนื้อหาของละครจะกล่าวถึงความหมายของคริสต์มาส ซึ่งพวกเขามักนำเอาต้นไม้ต้นหนึ่งมาวางไว้ตรงกลางเวทีประดับฉากเสมอ เพื่อแสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวานั่นเอง

ซึ่งต้นไม้ที่เขาเลือกใช้คือ ต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในยุโรปหรือในทวีปที่มีอากาศหนาวเย็น ไม่ใช่ชื่อพรรณไม้แต่อย่างใด

การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ ก็ได้ทำกันเป็นประจำต่อเนื่องสืบมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี 

จนกระทั่งศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้มีการสั่งห้ามแสดงละครเหล่านั้น เนื่องจากพอเล่นนานๆไปกลับกลายเป็นการเล่นละครซึ่งมีลักษณะเหมือนลิเก เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องล้อเลียนชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง 

ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก 

จึงนำเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้านแทน หลังจากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ 

ผนวกกับทางด้านชาวเยอรมันจะมีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิดไว้ตลอดคืนวันคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดประดับไว้ที่ยอดปิรามิดและทำกันสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน 

ต้นคริสต์มาสจึงเกิดจากการรวมกันของทั้งสองฝั่ง ซึ่งนำการแขวนของขวัญ การประดับไฟและมีดวงดาวของดาวิดประดับไว้ที่ปลายยอดของต้นไม้ กลายเป็นรูปแบบแพทเทิร์นของต้นคริสต์มาสมาจนทุกวันนี้ 

ถึงแม้ว่าการตั้งต้นคริสต์มาสจะมีความเป็นมาดังกล่าว 

ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเชื่อว่ามีความหมายถึงพระเยซู ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่มีสีเขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล หมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า ประกอบกับความสว่างของพระองค์ เปรียบเสมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด 

และความชื่นชมยินดีกับความสามัคคีที่พระเยซูเจ้าประทานให้นั้น ดั่งต้นไม้ในเทศกาลคริสต์มาส เพราะเป็นศูนย์รวมของครอบครัวนั่นเอง 

เอาเข้าจริงไม่ว่าความหมายที่แท้จริงของต้นคริสต์มาสจะมีที่มาอย่างไร เชื่อเถอะว่าถึงตอนนี้แล้ว “ต้นคริสต์มาส” ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลแห่งความสุขไปแล้ว 

ดังจะเห็นได้จากการตกแต่งประดับประดาตามห้างฯ ร้านอาหารต่างๆ เพื่อบ่งบอกว่า “มาฉลองกันเถอะ” 

และเพื่อเป็นไอเดียในการ ออกแบบและตกแต่งอาหาร ให้เข้ากับเทศกาล เราเลยเอาเรื่องราวในตำนานมาทำให้ทานได้กันดีกว่า 

วันนี้เรานำเสนอสูตร “คริสต์มาสชีสบอล” มาเติมโต๊ะอาหารให้มีสีสันและเติมพุงให้อิ่มอร่อยกันค่ะ

ส่วนผสมครีมชีส

– ครีมชีส
– เชดด้าชีสขูดแล้ว
– ต้นหอมซอย 
– พริกสเปน ปีเมียนโต้ หรือ ใช้พริกชี้ฟ้าบ้านเราแทนก็ได้ หั่นเป็นลูกเต๋า
– พริก หรือ ผงพริกต่างๆ

ส่วนประกอบสำหรับตกแต่ง

– มะเขือเทศลูกเล็ก
– พาร์สลี่ย์สับ
– อัลมอนด์สไลซ์
– พริกแดง

วิธีการ

นำครีมชีสและเชดด้าชีสในสัดส่วนที่ต้องการ แล้วผสมให้เข้ากัน ตามด้วยต้นหอมและพริกซอย เมื่อส่วนผสมเข้ากันแล้ว นำมาปั้นให้ขึ้นรูปเป็นทรงกรวย

จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 30 นาที
เมื่อครบ 30 นาที หรือพออยู่ตัวแล้ว 
นำออกมาตกแต่งด้วยมะเขือเทศก่อน ตามด้วยอัลมอนด์สไลซ์ และโรยตบท้ายด้วยใบพาซเลย์ที่ซอยเตรียมไว้

ประดับด้วยดาวจากเชดด้าชีส ที่สไลซ์และตัดให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ
นำเสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรอบ แบบจืดและเค็ม หรือมันฝรั่งทอดก็เข้ากัน

เอาละ พอรู้เรื่องกันแล้ว ก็กินได้!
Merry Christmas!!! โฮะๆๆๆๆ 

เรียบเรียง + เขียน : jeedwonder & แอมป์แปล
ข้อมูล : wigipedia, inspiredbychmarm
ภาพ : inspiredbycharm

ไอเดียการจัดปาร์ตี้วันปล่อยผี…แบบคูลๆ

photo credit: pinterest

1. หาของตกตแต่งสีส้ม ดำ เหลือง ม่วง หรือแทรกด้วยสีสดอื่นๆได้ แต่อย่าลืมตะเกียงฟักทองนะคะ

2. เตรียมขนมเป็นของกินเล่นง่ายๆคำเดียวจบ ถือกลับได้ก็ดีให้เหมาะกับการละเล่น treat and trick

photo credit: pinterest

3. ขอนำเสนอคัพเค้กฮาโลวีน ที่เน้นใช้สีสันแบบเหลืองม่วง ส้ม ดำ เก๋ด้วยการใช้ช็อคโกแลตรูปตะขาบ แมงมุม และแมลงต่างๆ

4. อย่าลืมใส่กิมมิกซ์พวกผี ปีศาจ แม่มดให้ชวนขนลุกด้วยนะค้า

เชฟแม่ธิชาใช้
ผงมันหวานสีม่วง 100% จากธรรมชาติใช้ทำอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนูได้ทั้งคาว ทั้งหวาน เมนูสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

แบรนด์ imo imo ผลิตจากมันม่วงเข้มข้น 100% จากจังหวัด Kumamoto,Japan おいしいパープル

ไม่ใส่สาร ไม่ใส่สี เหมาะสำหรับทำเบเกอรี่และเครื่องดื่มทุกชนิด

inbox m.me/ImoImoPurpleSweetPotatoes
Line : @imoimoshop

หนึ่งในผลงานของเชฟแม่ธิชาที่คิดสูตร เซ็ตอัพ ตกแต่ง ถ่ายภาพ ให้กับแบรนด์ imo imo ของเขาดีจริงๆนะคะ

ภาพ : Pinterest / jeewonder

เรื่อง/สไตล์ : jeedwonder

ประวัติความเป็นมาของวันฮัลโลวีน

1. ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย

โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมเชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเซลท์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้นปีใหม่นั่นเอง

เชื่อว่า Halloween เป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีก็เสื่อมถอยลง ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาด ตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป

credit: history.com

2. กิจกรรมในคืนฮัลโลวีนคือ เด็ก ๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง เรียกว่าการเล่น Trick or Treat (หลอกหรือเลี้ยง) คือการเดินเคาะประตูขอขนมตามบ้าน พร้อมกับถามว่า “Trick or Treat ?” เจ้าของบ้านมีสิทธิ์ที่จะตอบ Treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี (เด็ก) เหล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ Trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ Treat เด็ก ๆ ด้วยขนมในที่สุด

3. การตกแต่งในเทศกาลฮาโลวีนเลย คือ การประดับประดาแสงไฟ และการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เจาะทำตา จมูก และปากที่แสยะยิ้ม เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern) เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึงแจ๊กจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลขี้เมา ซึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไม้กางเขนไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ “ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก” แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ๊กตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็น และแจ๊กได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอร์นิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น

ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอร์นิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง “การหยุดยั้งความชั่ว” Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน

เรียบเรียงโดย jeedwonder
เครดิตภาพ : history.com

หอยแมลงภู่ชิลีอบไวน์ขาว

อาจเพราะเป็นเด็กภูเขา ไม่ค่อยจะได้เจอกับทะเลเท่าไหร่ การได้กินอาหารทะเล จึงเหมือนได้รับของขวัญ ก็เพราะ อาหารทะเลแถวบ้านเกิด จังหวัดเพชรบูรณ์ สมัยเมื่อ 20 – 30 ปีก่อน ใช่ว่าจะราคาถูกและหากินได้ง่าย พวกปูกุ้งนานๆจะได้กินที แต่กินทีไรก็ฟินเสมอ ของทะเลที่ได้กินบ่อยหน่อยก็น่าจะเป็นหอย (หอยแครง หอยแมลงภู่) ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอแค่ลวกดีๆน้ำจิ้มถึงๆก็โอเคละ

จนพอโตขึ้นความกระแดะก็มากขึ้นตามวัย ได้ลองชิมเมนูหอยอื่นๆบ้าง แต่ที่ช๊อบชอบ จนต้องมาฝึกทำก็เมนูนี้นี่แหละ เพราะมันให้ความรู้สึกถึงทะเลเมดิเตอเรเนี่ยน…(ขนาดนั้น) และมีความหรูหราของกลิ่นไวน์ขาวเข้ากันได้ดีกับกลิ่นหอยสดๆ ใบโหระพา และพริกหยวกหวาน แบบที่กินแล้วอยากกินอีกไม่อยากหยุดเลยทีเดียว

ขอแนะนำเมนูเด็ดของโปรดของเชฟแม่ธิชา
แห่งร้าน Tisha Spoon ที่เน้นหอยสดๆตัวไม่ใหญ่แต่หวานฉ่ำละมุน ที่เชื่อว่าใครได้ชิมต้องหลงรักแน่นอนค่ะ
…ลองไปทำดูกันนะคะ😊


วิธีทำ (สำหรับ 4 ที่)


วัตถุดิบ

  1. หอยแมลงภู่ชิลี ขนาด 60-70 ตัว 1 กิโลกรัม
  2. กระเทียมจีนสับ 3 กลีบ
  3. หอมใหญ่สับ 1-1/2 ผล
  4. พาสลีย์ 1/2 ช้อนชา
  5. ใบกระวาน 1-2 ใบ
  6. เลมอน 1/2 ผล
  7. เกลือเล็กน้อย
  8. พริกไทยดำบดหยาบตามชอบ
  9. พริกหยวกหวาน 1 ผล
  10. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
  11. ไวน์ขาว 1/4 ถ้วย (หรือตามชอบ)
  12. ใบโหระพา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ

  1. ตั้งกระทะก้นลึกให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอก ผัดหอมใหญ่ให้สุก ใส่กระเทียมพอได้กลิ่นหอม
  2. นำหอยแมลงภู่ที่ล้างสะอาดสะเด็ดน้ำแล้วใส่ลงในกระทะ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย
  3. ใส่พริกหยวกหวาน ใบกระวาน พาสลีย์ คนให้ทั่ว
  4. ใส่ไวน์ขาว ปิดฝา (นับ 1-10)
  5. เปิดฝา คนให้ทั่วแล้วปิดไฟ ใส่ใบโหระพา ใส่เลมอนสไลด์บาง หรือไม่ใส่ใช้บีบก่อนรับประทานได้ค่ะ

ภาพ/สุตร : เชฟแม่ธิชา (Jeedwonder)

#jeedwonderrecipe